โปรโมทสินค้าฟรี ซื้อ ขาย เช่า

หมวดหมู่ทั่วไป => พูดคุยเรื่องทั่วไป => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2025, 22:25:44 น.

หัวข้อ: ไวรัสตับอักเสบซี โรคร้ายที่มาแบบไม่เตือน
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2025, 22:25:44 น.
ไวรัสตับอักเสบซี โรคร้ายที่มาแบบไม่เตือน (https://doctorathome.com/disease-conditions/177)

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus: HCV) ได้รับฉายาว่าเป็น "ภัยเงียบ" หรือ "โรคร้ายที่มาแบบไม่เตือน" อย่างแท้จริงครับ นั่นเป็นเพราะผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ไม่แสดงอาการใดๆ ในช่วงเริ่มต้นของการติดเชื้อ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ และปล่อยให้เชื้อไวรัสทำลายตับไปเรื่อยๆ เป็นเวลานานหลายปีหรือหลายสิบปี จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ ซึ่งเมื่อถึงขั้นนั้น อาการอาจจะชัดเจนและรุนแรงขึ้นแล้ว


ทำไมถึงเป็น "โรคร้ายที่มาแบบไม่เตือน"?

หัวใจสำคัญที่ทำให้ไวรัสตับอักเสบซีเป็นอันตรายคือลักษณะการดำเนินโรคที่เงียบเชียบ:

ไร้อาการในระยะแรก: ประมาณ 80% ของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะไม่มีอาการใดๆ ในระยะเฉียบพลัน หรือหากมีอาการก็มักจะไม่จำเพาะเจาะจงและคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตัว ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นอาการป่วยเล็กน้อยและไม่ได้ไปพบแพทย์

ดำเนินไปสู่เรื้อรัง: ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ที่ไม่มีอาการในระยะเฉียบพลันจะพัฒนาไปสู่ภาวะ ตับอักเสบซีเรื้อรัง ซึ่งเชื้อไวรัสจะอยู่ในร่างกายและค่อยๆ ทำลายเซลล์ตับอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายปี โดยที่ผู้ป่วยก็ยังคงไม่มีอาการ หรือมีเพียงอาการเล็กน้อย เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง จนกระทั่งตับถูกทำลายไปมากแล้ว

นำไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับ: การอักเสบเรื้อรังทำให้ตับเกิดพังผืดและพัฒนาเป็นภาวะ ตับแข็ง ซึ่งเป็นภาวะที่ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ และเพิ่มความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิด มะเร็งตับ ผู้ป่วยจำนวนมากเพิ่งจะรู้ว่าตนเองติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ก็ต่อเมื่อมาตรวจพบภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับแล้ว ซึ่งมักจะสายเกินไปสำหรับการรักษาในระยะเริ่มต้น


การติดต่อของไวรัสตับอักเสบซี

ไวรัสตับอักเสบซีติดต่อผ่านทาง เลือดและสารคัดหลั่งเป็นหลัก ไม่ติดต่อจากการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน การกอด จูบ ไอ จาม หรือการให้นมบุตร ช่องทางการติดต่อที่สำคัญ ได้แก่:

การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน: เป็นช่องทางการแพร่เชื้อที่พบบ่อยที่สุด

การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อ: โดยเฉพาะก่อนปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ประเทศไทยจะเริ่มมีการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบซีในเลือดที่บริจาคอย่างเข้มงวด

การสัก การเจาะร่างกาย: หากใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธี

การใช้ของมีคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน: เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ ที่อาจปนเปื้อนเลือด

การมีเพศสัมพันธ์: มีความเสี่ยงต่ำกว่าการติดต่อทางเลือด แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหากมีบาดแผล หรือมีเพศสัมพันธ์ที่มีความรุนแรง

จากแม่สู่ลูก: ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมีความเสี่ยงติดเชื้อระหว่างคลอดได้ (แต่โอกาสต่ำกว่าไวรัสตับอักเสบบี)


อาการที่อาจพบเมื่อโรคดำเนินไปแล้ว

เมื่อไวรัสตับอักเสบซีเริ่มทำลายตับมากขึ้นจนเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็ง ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการที่ชัดเจนขึ้น ได้แก่:

อ่อนเพลียเรื้อรัง: รู้สึกเหนื่อยล้าผิดปกติ ไม่สดชื่นตลอดเวลา

เบื่ออาหาร น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ

คลื่นไส้ อาเจียน

ปวดท้อง: โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา

ปัสสาวะสีเข้ม

ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)

ผิวหนังคันโดยไม่มีสาเหตุ

มีภาวะเลือดออกง่าย: เช่น เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกตามไรฟัน

มีอาการของตับแข็ง: เช่น ท้องบวม (ท้องมาน) ขาบวม สับสน หลงลืม (สมองเสื่อมจากตับ) อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ (จากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตก)


การวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบซีทำได้โดยการ ตรวจเลือด โดยเฉพาะการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (Anti-HCV antibody) และหากพบว่ามีภูมิคุ้มกัน แพทย์จะตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสในเลือด (HCV RNA) เพื่อยืนยันการติดเชื้อและประเมินระดับความรุนแรงของโรค

ข่าวดีคือ ในปัจจุบัน มียาสำหรับรักษาไวรัสตับอักเสบซีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ซึ่งเป็นยารับประทานที่ออกฤทธิ์ตรงเป้า (Direct-Acting Antivirals: DAAs) สามารถรักษาให้หายขาดจากเชื้อไวรัสได้ในอัตราที่สูงถึง 90-95% หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อและสภาพร่างกายของผู้ป่วย การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ


ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรอง?

เนื่องจากเป็นโรคที่มักไม่แสดงอาการ การตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยง:

ผู้ที่เคยได้รับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะก่อนปี พ.ศ. 2535

ผู้ที่เคยใช้เข็มฉีดยาเสพติด หรือเคยใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น

ผู้ป่วยที่ฟอกไตเรื้อรัง

ผู้ที่เคยสัก หรือเจาะร่างกายด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด

บุคลากรทางการแพทย์

ผู้ที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

ผู้ที่มีประวัติตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับในครอบครัว

ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ

แม้จะไม่มีอาการใดๆ หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ หรือไม่แน่ใจ ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบซี เพราะการรู้ตัวเร็ว รักษาเร็ว คือกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคร้ายที่อาจตามมาในอนาคตครับ