ผู้เขียน หัวข้อ: ไขข้อข้องใจ ใครบ้างควรไปตรวจไวรัสตับอักเสบบี และซี  (อ่าน 24 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 486
    • ดูรายละเอียด
ไขข้อข้องใจ ใครบ้างควรไปตรวจไวรัสตับอักเสบบี และซี

ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตับอักเสบ หากการอักเสบของตับไม่หายและกลายเป็นตับอักเสบระยะเรื้อรัง จะเกิดพังผืดหรือแผลเป็นในเนื้อตับ จนกลายเป็นภาวะตับแข็งและเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับ ฉะนั้นการเข้ารับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบ บี และซี จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าว แล้วใครควรตรวจบ้างไปดูกันเลย


ใครบ้างควรไปตรวจไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบ บี หากท่านหรือบุคคลที่รักมีปัจจัยต่อไปนี้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งแพทย์จะตรวจ HBSAg จากการเจาะเลือด ดังนี้

    มีประวัติไวรัสตับอักเสบ บี หรือ มะเร็งตับในครอบครัว เช่นมีพ่อ แม่ พี่น้องทางแม่ หรือพี่น้องท้องเดียวกันเป็นโรคดังกล่าว
    มีการทำงานของตับผิดปติหรือแพทย์สงสัยว่าเป็นตับแข็งทั้งนี้เพราะไวรัสตับอักเสบ บี เป็นสาเหตุโรคตับที่พบบ่อยและในปัจจุบันรักษาได้
    มีประวัติเสี่ยงเช่นเคยใช้ยาเสพติดชนิดฉีด สักตามร่างกาย มีคู่นอนหลายคน
    หากท่านเกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 หรือมีความกังวลเรื่องไวรัสตับอักเสบ ปี ก็ควรตรวจ ในกรณีนี้ควรตรวจร่วมกับภูมิต้านทานด้วยเพราะหากไม่ติดเชื้อและยังไม่มีภูมิจะได้ฉีดวัคซีนไปด้วยเลย


ใครบ้างควรไปตรวจไวรัสตับอักเสบซี

ไวรัสตับอักเสบ ซี เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบ บี หากมีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ควรได้รับการตรวจ Anti-HCV จากการเจาะเลือดไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นการตรวจเบื้องต้นหากให้ผลบวกแพทย์จะตรวจยืนยันเพิ่มเติม

    มีประวัติได้รับเลือด เกร็ดเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดก่อนปีพ.ศ. 2533
    มีประวัติเสี่ยงเช่นเคยใช้ยาเสพติดชนิดฉีดสักตามร่างกาย สำส่อนทางเพศ
    มีการทำงานของตับผิดปกติหรือแพทย์สงสัยว่าเป็นตับแข็ง


ไวรัสตับอักเสบ บีและซี ป้องกันได้

เราสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีได้หลายวิธี ประกอบด้วย

   
หลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่

        การเจาะ สักผิวหนัง
        การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
        การใช้ของมีคมร่วมกับบุคลอื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
        มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
        บุคลากรทางการแพทย์ ควรสวมถุงมือ แว่นตา หรือชุดคลุมเมื่อต้องสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง
    หญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรพบแพทย์เพื่อประเมินว่ามีความจำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่หากเชื้อไวรัสมีปริมาณมากควรได้รับยาต้านไวรัสช่วง 3 เดือนก่อนคลอด เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก และทารกควรได้รับการฉีดวัคซีนและอิมมูโนกลอบบูลิน (Hepatitis B immunoglobulin, HBIG) เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกคลอด
    การฉีดวัคซีน เรายังสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้โดยการฉีดวัคซีนซึ่งมีประสิทธิภาพดี โดยฉีดเพียง 3 เข็มสามารถสร้างภูมิต้านทานซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิตส่วนวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย

   
ใครควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

        ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่
        ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบปี
        ทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
        บุคลากรทางการแพทย์
        สามีหรือภรรยาของผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
        ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกไต
        ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
        ผู้ป่วยที่ต้องได้รับยากดภูมิต้านทาน