ผู้เขียน หัวข้อ: ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด (Empyema)  (อ่าน 35 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 525
    • ดูรายละเอียด
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด (Empyema)

ภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด หรือที่เรียกว่า Empyema Thoracis (บางครั้งเรียกว่า Pyothorax) คือภาวะที่มีการสะสมของ หนอง (Pus) อยู่ในช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มปอดชั้นนอกและชั้นใน ซึ่งเป็นช่องว่างที่ปกติแล้วจะมีเพียงน้ำหล่อลื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภาวะนี้ถือเป็นภาวะติดเชื้อที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

พยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiology)
โดยปกติแล้ว Empyema มักเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคปอดอักเสบติดเชื้อ (Pneumonia) หรือการติดเชื้อในปอดอื่นๆ ที่แพร่กระจายมายังโพรงเยื่อหุ้มปอด กลไกการเกิดแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก:

Exudative Stage (ระยะเริ่มต้น): การอักเสบและการติดเชื้อในปอด ทำให้หลอดเลือดฝอยในเยื่อหุ้มปอดมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีการซึมผ่านของโปรตีนและของเหลวเข้าสู่โพรงเยื่อหุ้มปอดอย่างรวดเร็ว ของเหลวที่สะสมในช่วงนี้ยังคงเป็นน้ำใสๆ แต่มีโปรตีนและเซลล์อักเสบปะปนอยู่ (Parapneumonic Effusion)
Fibrinopurulent Stage (ระยะกึ่งกลาง): หากการติดเชื้อไม่ได้รับการรักษา ของเหลวจะเริ่มข้นขึ้น กลายเป็นน้ำหนอง มีเซลล์เม็ดเลือดขาว (Neutrophils) จำนวนมาก และมีการสะสมของไฟบริน (Fibrin) เพิ่มขึ้น ไฟบรินเหล่านี้จะเริ่มก่อตัวเป็นผนังกั้น (Septations) หรือพังผืดภายในโพรงเยื่อหุ้มปอด ทำให้หนองถูกกักอยู่ในช่องว่างเล็กๆ และยากต่อการระบาย
Organizing Stage (ระยะสุดท้าย): ไฟบรินและพังผืดมีความหนาแน่นและจัดระเบียบมากขึ้น ทำให้เกิดเปลือกหุ้มปอดที่หนาและแข็ง (Fibrotic Peel) ซึ่งจะจำกัดการขยายตัวของปอด ทำให้ปอดแฟบและทำงานได้ไม่เต็มที่ ภาวะนี้อาจนำไปสู่ภาวะปอดติดอยู่ในเปลือกหุ้ม (Trapped Lung) ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อลอกเปลือกหุ้มออก

สาเหตุของภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด

สาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุดคือ:

ภาวะแทรกซ้อนของปอดอักเสบติดเชื้อ (Complication of Pneumonia): เป็นสาเหตุหลัก โดยเฉพาะในปอดอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรีย เช่น Streptococcus pneumoniae, Staphylococcus aureus, Klebsiella pneumoniae, Pseudomonas aeruginosa เป็นต้น
ฝีในปอด (Lung Abscess): หากฝีในปอดแตกเข้าสู่โพรงเยื่อหุ้มปอด จะทำให้เกิดหนองขึ้นได้
การผ่าตัดช่องอก: การติดเชื้อหลังการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดปอด หรือหัวใจ
การบาดเจ็บที่หน้าอก: เช่น การบาดเจ็บที่ทะลุช่องอกและมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค
ภาวะติดเชื้อในช่องท้องที่แพร่กระจาย: เช่น ฝีในตับ หรือการติดเชื้อในช่องท้องที่ลุกลามขึ้นมาทางกะบังลม
การติดเชื้อจากการทำหัตถการ: เช่น การใส่สายระบายทรวงอก (Chest Tube) หรือการเจาะปอด (Thoracentesis) ที่ไม่สะอาด
การติดเชื้อจากหลอดอาหารทะลุ (Esophageal Perforation): อาจทำให้สารในหลอดอาหารรั่วไหลและติดเชื้อบริเวณใกล้เคียง


อาการและอาการแสดง

อาการของภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอดมักจะรุนแรงและแย่ลงเรื่อยๆ:

ไข้สูง หนาวสั่น เหงื่อออกกลางคืน: เป็นอาการของการติดเชื้อที่รุนแรง
เจ็บหน้าอก: มักจะเจ็บแบบแปล๊บๆ (Pleuritic Chest Pain) หรือเจ็บเสียดเมื่อหายใจเข้าลึกๆ หรือไอ
ไอมีเสมหะ: อาจมีเสมหะปนหนองหรือเลือด
หายใจลำบาก หอบเหนื่อย: เนื่องจากการสะสมของหนองไปกดเบียดปอด ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด: เป็นอาการทั่วไปของการติดเชื้อเรื้อรัง
คลำพบตับและม้ามโต: ในบางกรณีที่การติดเชื้อรุนแรงและเรื้อรัง
การตรวจร่างกาย: อาจพบเสียงปอดลดลง (Diminished Breath Sounds) หรือเสียงเคาะทึบ (Dullness to Percussion) บริเวณที่มีหนองสะสม


การวินิจฉัย
การวินิจฉัย Empyema อาศัยข้อมูลจากหลายส่วน:

ประวัติและการตรวจร่างกาย: เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่สำคัญ
ภาพถ่ายรังสีทรวงอก (Chest X-ray): จะเห็นลักษณะของน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (Pleural Effusion) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึง Empyema ได้
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ของช่องอก: เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงในการยืนยันตำแหน่ง ปริมาณ และลักษณะของหนอง รวมถึงการก่อตัวของพังผืด และสามารถแยกออกจากปอดอักเสบหรือฝีในปอดได้
การเจาะปอดเพื่อเก็บน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (Diagnostic Thoracentesis): เป็นวิธีการวินิจฉัยที่สำคัญที่สุด โดยการใช้เข็มเจาะเข้าไปในโพรงเยื่อหุ้มปอดเพื่อดูดของเหลวออกมาตรวจ:
ลักษณะของเหลว: หากเป็นหนองข้น สีเหลือง เขียว หรือมีกลิ่นเหม็น ถือเป็นการวินิจฉัย Empyema ได้ทันที
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: ส่งตรวจค่าโปรตีน, LDH, กลูโคส, pH (ค่า pH มักจะต่ำมาก), นับเม็ดเลือดขาว (มักมีเม็ดเลือดขาวชนิด Neutrophils สูงมาก) และที่สำคัญคือ การย้อมแกรม (Gram Stain) และ การเพาะเชื้อ (Culture) เพื่อระบุชนิดของแบคทีเรียที่ก่อโรคและทดสอบความไวของยาปฏิชีวนะ (Antibiotic Sensitivity)


การรักษา
การรักษา Empyema เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยมีหลักการสำคัญ 3 ประการ:

การระบายหนองออก (Drainage of Pus):

การใส่สายระบายทรวงอก (Chest Tube Drainage): เป็นวิธีการหลัก โดยการใส่ท่อขนาดเล็กเข้าไปในโพรงเยื่อหุ้มปอดเพื่อระบายหนองออกอย่างต่อเนื่อง และอาจมีการฉีดสารละลายบางอย่าง (เช่น Fibrinolytics) เข้าไปเพื่อช่วยสลายไฟบรินและระบายหนองได้ดีขึ้น
การใส่สายระบายผ่านทางผิวหนังโดยการนำทางด้วยภาพ (Percutaneous Catheter Drainage under imaging guidance): ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถใส่ Chest Tube ได้ หรือสำหรับหนองที่ถูกกั้นเป็นช่องๆ
การผ่าตัด (Surgical Intervention):
การผ่าตัดส่องกล้องช่องทรวงอก (Video-Assisted Thoracoscopic Surgery - VATS): เป็นวิธีการผ่าตัดแบบรุกล้ำน้อยที่สุด (Minimally Invasive) ที่นิยมใช้ในการลอกพังผืด (Decortication) และระบายหนอง โดยเฉพาะในระยะ Fibrinopurulent หรือระยะ Organizing ที่มีพังผืดหนา ซึ่งไม่สามารถระบายออกด้วย Chest Tube ได้
การผ่าตัดเปิดช่องอก (Open Thoracotomy): ใช้ในกรณีที่ VATS ไม่สำเร็จ หรือในกรณีที่พังผืดมีความหนามากและปอดถูกกดเบียดอย่างรุนแรง


การให้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic Therapy):

เริ่มต้นด้วยยาปฏิชีวนะในวงกว้าง (Broad-spectrum Antibiotics) ทางหลอดเลือดดำทันที
ปรับชนิดยาปฏิชีวนะตามผลการเพาะเชื้อและความไวของเชื้อที่พบ เพื่อให้ครอบคลุมเชื้อโรคและมีประสิทธิภาพสูงสุด
การให้ยาปฏิชีวนะมักจะใช้เป็นระยะเวลานาน (4-6 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น) ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการรักษา


การดูแลรักษาแบบประคับประคอง:

ให้สารน้ำและเกลือแร่
การบำบัดทางเดินหายใจ (Respiratory Therapy) เพื่อช่วยฟื้นฟูการทำงานของปอด
การบริหารจัดการความเจ็บปวด
โภชนาการที่เหมาะสม

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

หากไม่ได้รับการรักษา Empyema อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis), ภาวะปอดล้มเหลวเฉียบพลัน (ARDS), การเกิดฝีในปอด หรือการติดเชื้อลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ

ดังนั้น หากมีอาการที่เข้าข่ายภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมครับ